Route Survey (การสำรวจแนวทาง)
![]() |
รูปที่ 1 ประวัติการสำรวจ
|
การสำรวจเส้นทางเริ่มจากความต้องการที่จะเริ่มโครงการก่อสร้างในเส้นทางใหม่ๆ
โดยต้องการที่จะขนย้ายสิ่งของจากเส้นทางหนึ่งไปยังเส้นทางใหม่ที่เราจะก่อสร้าง
ดังนั้นจึงมีการนำวิธีการสำรวจเส้นทางเข้ามาในการทำงานโดยเริ่มจากจุดที่รู้จักอย่างน้อยหนึ่งจุดไปยังจุดอื่นหรือจุดใหม่ที่เรายังไม่รู้จักโดยจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของพื้นที่หรือเส้นทางในจุดนั้นๆ
การสำรวจเส้นทางการเดินทางที่มีคุณภาพเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นถนนท่อทางรถไฟและคลอง
การสำรวจเส้นทาง( Route survey )นั้นเป็นส่วนหนึ่งในวิชาความรู้ใน การสำรวจ( Survey )โดยในอดีตกาลนั้นเราค้นพบว่าจุดเริ่มต้นของการสำรวจนั้น เริ่มมา 3000 ปีก่อนจากอียิปโดยเริ่มจากการที่ชนชาวอียิปต้องการจะทำเส้นทางใหม่เพื่ออกจากบริเวณแม่น้ำไนล์
และหลังจากนั้น สหรัฐอเมริกาจึงเริ่มนำมาการสำรวจมาประยุกต์ใช้เป็นการสำรวจเส้นทาง
ในปี 1807 สหรัฐอเมริกายังได้นำการสำรวจเส้นทางมาประยุกต์ใช้ในการทำแนวทางการเดินทางน้ำอีกด้วย
ภารกิจหลัก
-Reconnaissance and planning (การสำรวจและการวางแผน)
การแบ่งงานเป็นขั้นตอน
โดยมีการกำหนดเวลาและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานซึ่งการวางแผนจะเป็นขั้นตอนที่ครอบคลุม
ในทุกขั้นตอนดังเช่น การออกแบบและการก่อสร้าง ในการวางแผนจะต้องมีการกำหนดระยะเวลา
แบ่งงานของแต่ละบุคคลให้เหมาะสม หรืออาจสามารถเคลื่อนย้ายบุคคลจากหน้าที่อื่นมาช่วยงานในขั้นที่ยังไม่เสร็จก็ได้
แต่ต้องการบริหารงานที่ดีและถูกต้องตามขั้นตอน
เนื่องจากจะเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายอีกด้วย
![]() |
รูปที่ 3 การวางแผนงาน
|
-Works design (การออกแบบ)
เป็นขั้นตอนที่รับข้อมูลมาจากการสำรวจ มีการออกแบบโค้งในแต่ละลักษณะมีการกำหนดขนาดและวัสดุในการก่อสร้าง
โดยทำการคำนวณจากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ
![]() |
รูปที่ 4 การออกแบบโค้ง
|
-Right of way acquisition (การเลือกเส้นทางที่เหมาะสม)
เป็นขั้นตอนการจัดทำรายซื้อวัสดุอุปกรณ์
และจัดหาแรงงานในการก่อสร้างโดยการแสดงปริมาณวัสดุ และ ปริมาณแรงงาน
ประกอบกับราคาที่ใช้ในการก่อสร้าง โดยรายละเอียดจะประกอบด้วย ปริมาวัสดุ
ปริมาณแรงงาน ราคาต่อหน่วยของทั้งวัสดุและแรงงาน ความสำคัญ
เป็นกลไกในการตรวจสอบราคา
ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อประกอบสัญญาการรับเหมาก่อสร้างหรือเป็นเอกสารประกอบการ
![]() |
รูปที่ 5 ตารางประมาณราคาวัสดุ
|
- Construction of works (การก่อสร้าง)
เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานตามแผลที่ได้ว่างไว้
จะต้องมีหัวหน้าหรือผู้นำในการก่อสร้างเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานก่อสร้างทางเป็นไปตามแบบ
กระบวนการควบคุมการก่อสร้างทางในขั้นตอนต่าง ๆ
การตรวจการจ้างทั้งภายในสำนักงานและบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งยังได้สรุปแบบฟอร์มและเกณฑ์การทดสอบทดใช้ในงานก่อสร้างทางเพื่อให้ตรงตามความปลอดภัยที่วางไว้
![]() |
รูปที่ 6 การก่อสร้าง
|
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
หน้าที่และความรับผิดชอบ
ลักษณะการทำงานของ 2 งานมีลักษณะเหมือนกัน
1. หัวหน้าหน่วยสำรวจ(Party
chief)
1.1 วางแผนที่ได้รับมอบหมาย
1.2 เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจให้พร้อมก่อนเริ่มทำงาน
1.3 ควบคุมลูกทีมให้ปฏิบัติงานตามที่แบบแผนที่วางไว้
1.4 ควบคุมดูแลการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ในภาคสนาม
1.5 คอยตรวจสอบสมุดภาคสนามของลูกทีมเสมอ
1.6 ติดต่อสอบถามและแจ้งกับชาวบ้านในพื้นที่ที่ปฏิบัติงาน
1.7 ส่งข้อมูลภาคสนามให้หัวหน้าโครงการ
1.8 สรุปประมวลผลการทำงานและส่งรายงานการปฏิบัติงานให้แก่หัวหน้าโครงการ
1.9 ดูแลรับผิดชอบการทำงานของลูกน้องในทีม
2. คนจดสมุดสนาม(Recorder)
2.1 บันทึกค่าต่างในการทำงาน เช่น ค่ามุม ระยะ ลักษณะของจุด และสเก๊ตรูป
ในพื้นที่ที่ปฏิบัติงาน
2.2 คำนวณโค้งพร้อมทั้งตารางสำหรับใช้วางโค้ง
2.3 ควบคุมการทำงานของคนวัดระยะและคนงานถางป่า
2.4 รับผิดชอบต่อผลงานของตน
3.คนส่องกล้อง(Intrument
man)
3.2 ดูแลรักษากล้องที่ใช้ในภาคสนามทุกตัว
3.3 ดูแลรับผิดชอบในกล้องที่ตัวเองใช้
3.4 รับผิดชอบในผลงานของตน
4.ผู้ช่วยคนส่องกล้องหรือคนส่องหมุดหน้า (Assistance
instrument man)
4.1 ทำหมุดบนแนวของกล้องซึ่งเป็นแนวของ Alignment ที่เลือกได้แล้ว
4.3 ควบคุมแนวถางป่าให้ถูกต้องตามแนวของกล้อง
4.4 รับผิดชอบต่อผลงานของตน
5. คนดิ่งเทป(Chainman)
5.2 ทำจุดของ สถานี ต่างๆ
พร้อม Offset
5.4 รับผิดชอบต่อผลงานของตน
![]() |
รูปที่ 8 เส้นแนวศูนย์กลางของถนน
|
- Benchmark And Profile Leveling
Party
1.คนส่องกล้อง(Instrument
man)
1.2 รักษากล้องที่ใช้ในภาคสนามให้เรียบร้อย
1.3 รับผิดชอบต่อกล้องที่ตัวเองใช้
1.4 รับผิดชอบต่อผลงานของตน
2. คนจดสมุดสนาม(Recorder)
2.2 ทำการคำนวณค่า B.M.
2.4 รับผิดชอบต่อผลงานของตน
3. คนถือไม้สต๊าฟ(Rod
man)
3.2 ทำ B.M.
3.4 รับผิดชอบต่อการทำงานของตน
![]() |
รูปที่ 9 การถ่ายระดับ
|
- Cross Section Party
1. คนส่องกล้อง(Instrument
man)
1.2 รักษากล้องที่ใช้ในสนามทั้งหมด
1.3 รับผิดชอบกล้องที่ใช้
1.4 รับผิดชอบต่อการทำงานของตน
2. คนจดสมุดสนาม(Recorder)
2.1 จดค่า จากไม้ระดับ โดยการอ่านของคนส่องกล้อง ลงในสมุดบันทึกค่า
ให้เรียบร้อย
2.2 ควบคุมการทำงานของคนถือไม้สต๊าฟ
2.3 รับผิดชอบต่อผลงานของตน
3. คนถือไม้สต๊าฟ(Rod
man)
3.1 ถือไม้ระดับ ให้ คนส่องกล้อง อ่านค่า
3.2 วัดระยะของจุดตั้ง ไม้ระดับ
3.3 รับผิดชอบต่อเครื่องมือที่ใช้
3.4 รับผิดชอบต่อการทำงานของตน
![]() |
รูปที่ 10 ภาพตัดตามขวางของถนน
|
- Topographic Party
1. คนส่องเครื่องมือส่องฉาก(Chain
man)
1.2 วัดระยะห่าง สถานีต่าง และวัดระยะของจุด Offset
1.4 รับผิดชอบต่อการทำงานของตน
2. คนจดสมุดสนาม(Recorder)
2.1 สเก็ตรูปต่างๆ
พร้อมบันทึกค่าตำแหน่งของสิ่ง ต่างๆ
2.2 ควบคุมการทำงานของ
คนลากเทปวัด
2.3 รับผิดชอบต่อผลงานของตน
![]() |
รูปที่ 12 คนส่องกล้อง(Instrument man)
|
รูปที่ 13 คนถือไม้สต๊าฟ(Rod man)
|
![]() |
รูปที่ 14 หัวหน้าหน่วยสำรวจ (Party chief)
|
รูปที่ 15 คนจดสมุดสนาม(Recorder)
|
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
โค้งวงกลม
![]() |
รูปที่ 16 ลักษณะโค้งวงกลม
|
รูปที่ 17 ลักษณะโค้งวงกลม
|
ความหมาย เป็นโค้งในแนวราบที่มีจุดศูนย์กลางโค้งเดียว และมีรัศมีเท่ากัน
ประโยชน์ของโค้งกลม
-ใช้ออกแบบถนนที่มีพื้นที่ราบ
-สามารถออกแบบได้ง่ายเนื่องจากเป็นพื้นฐานของโค้งต่างๆ
จากสูตร
![]() |
รูปที่ 18 รายละเอียดโค้งวงกลม |
โดยที่
Δ = มุมหักเหหรือมุมเบี่ยงเบน Deflection Angle
PI = จุดหักเหหรือจุดเบี่ยงเบนแนวเส้นทาง Point of Intersection
PC = จุดเริ่มโค้ง Point of Curvature
PT = จุดสิ้นสุดโค้ง Point of Tangentcy
R = รัศมี Radius
LC = ความยาวโค้ง Length of Curve
L = ระยะตรงจากจุด PC ถึงจุด PT Long Chord
D = มุมที่รองรับระยะโค้งยาว 100 เมตร. Degree of Curve
T = ระยะทางตรงจากจุด PC ถึง PI Tangent Distance
E = ระยะจากจุด PI ถึง จุด กึ่งกลางโค้ง External Distance
PI = จุดหักเหหรือจุดเบี่ยงเบนแนวเส้นทาง Point of Intersection
PC = จุดเริ่มโค้ง Point of Curvature
PT = จุดสิ้นสุดโค้ง Point of Tangentcy
R = รัศมี Radius
LC = ความยาวโค้ง Length of Curve
L = ระยะตรงจากจุด PC ถึงจุด PT Long Chord
D = มุมที่รองรับระยะโค้งยาว 100 เมตร. Degree of Curve
T = ระยะทางตรงจากจุด PC ถึง PI Tangent Distance
E = ระยะจากจุด PI ถึง จุด กึ่งกลางโค้ง External Distance
![]() |
รูปที่ 19 สูตรการคำนวณโค้งวงกลม |
ตัวอย่างการคำนวณ
![]() |
รูปที่ 20 ตัวอย่างการคำนวณ |
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
โค้งผสม (Compound curve)
รูปที่ 21 โค้งผสม |
ความหมาย โค้งที่ประกอบด้วยโค้งหลายโค้งมารวมกัน
และจุดศุนย์กลางของโค้งทั้งหมดจะอยู่ซีกเดียวกันของเส้นสัมผัส
เส้นรัศมีโค้งยาวไม่เท่ากันจุดที่ความยาวโค้งต่อกันเรียกว่า จุดต่อโค้งผสม โค้งผสมจะได้เปรียบการวางแนวทางที่เหมาะสมกับภูมิประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นภูเขา
ในเขตชุมชนไม่สามารถวางแนวด้วยโค้งชนิดอื่นผ่านได้ เช่น
โรงงานที่มูลค่าการก่อสร้างแพงมากไม่สามารถเวียนคืนชดเชยคามเสียหายได้
ประโยชน์โค้งผสม
-ใช้ในบริเวณที่เป็นภูเขาทั้งนี้เพื่อให้แนวทางเข้ากับภูมิประเทศและถูกต้องตามหลักวิชาเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยวดยาน
-ใช้ในบริเวณทางขึ้นลง บริเวณทางด่วน ทางแยกต่างระดับ
โดยใช้ร่วมกับโค้งก้นหอย
-ใช้ในเลนเลี้ยวในกรณีที่ถนนสายหลักกับสายรองมาตัดกัน
ถนนสายหลักจะใช้ความเร็วสูง เพราะฉะนั้นเวลาเลี้ยวจะชะรอความเร็วต้องใช้เวลามากและป้องกันไม่ให้รถที่ตามมาเกิดอุบัติเหตุ
และทำให้เลี้ยวไปตามความเร็วที่ออกแบบ
องค์ประกอบของเส้นโค้ง (Elements of compound curve)
![]() |
รูปที่ 22 รายละเอียดโค้งผสม |
โดยที่
PC = point of
curvature
PT = point of
tangency
PI = point of intersection
PCC = point of compound curve
T1 = length
of tangent of the first curve
T2 = length
of tangent of the second curve
V1 = vertex of the first curve
V2 = vertex
of the second curve
I1 = central
angle of the first curve
I2 = central
angle of the second curve
I = angle of
intersection = I1 + I2
Lc1 = length of first curve
Lc2 = length
of second curve
L1 = length of first chord
L2 = length
of second chord
L = length of long
chord from PC to PT
T1 + T2 = length of common tangent measured from V1 to V2
θ = 180° – I
x and y can be found from
triangle V1-V2-PI.
L can be found from triangle
PC-PCC-PT
จากสูตร
![]() |
รูปที่ 23 สูตรคำนวณโค้งผสม |
ตัวอย่างการคำนวณ
![]() |
รูปที่ 24 โจทย์การคำนวณ |
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
โค้งก้นหอย (Spiral curve)
![]() |
รูปที่ 26 โค้งก้นหอย |
ความหมาย
ใช้โค้งตั้งแต่ 1 โค้งขึ้นไปนำไปต่อกับโค้งชนิดอื่น โดยทั่วไป
นิยมใช้ Spiral curve ออกแบบแทนโค้งอันตราย (Shape
curve) ใช้ในการออกแบบ Interchange และ Intersection
ประโยชน์ของโค้งก้นหอย
-เพื่อให้ยวดยานสามารถวิ่งเข้าโค้งได้ด้วยความเร็วสูง
-สามารถนำไปต่อกับโค้งอื่นๆ
ได้ หรือนำมาต่อกันเองก็ได้
![]() |
รูปที่ 27 รายละเอียดโค้งก้นหอย |
จากสูตร
![]() |
รูปที่ 28 สูตรการคำนวณโค้งก้นหอย |
ตัวอย่างการคำนวณ
![]() |
รูปที่ 29 โจทย์การคำนวณ |
ตารางการคำนวณ
![]() |
รูปที่ 30 ตารางการคำนวณ |
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
โค้งกลับทิศ (Reverse curve)
รูปที่ 31 โค้งกลับทิศ |
ความหมาย โค้งที่ผสมมีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงข้ามกัน ประกอบด้วยโค้งสองโค้งโดยมีจุดร่วม หรือ PRC(Point of reverse curve) หรือมีเส้นสัมผัสร่วมที่ต่อเชื่อมกันระหว่างโค้งเรียกว่า
Intermediate tangent
ประโยชน์ของโค้งกลับทิศ
- โค้งกลับทิศมักใช้ในภูมิประเทศที่เป็นภูเขา
หรือในเขตเมืองที่ไม่สะดวกต่อการรื้อถอนและเวียนคืน
- จะสามารถลดผลกระที่จะเกิดต่อสิ่งแวดล้อมน้อย
ลักษณะโค้งกลับทิศ
1. โค้งกลับทิศที่มีจุดเชื่อมต่อกันที่จุด PRC
![]() |
รูปที่ 32 โค้งกลับทิศที่มีจุดเชื่อมต่อกันที่จุด PRC |
2. โค้งกลับทิศที่มีเส้นสัมผัสขนานกัน
2.1 เส้นสัมผัสขนานกันและรัศมีเท่ากัน
![]() |
รูปที่ 33 เส้นสัมผัสขนานกันและรัศมีเท่ากัน |
2.2 เส้นสัมผัสขนานกันแต่รัศมีไม่เท่ากัน
![]() |
รูปที่ 34 เส้นสัมผัสขนานกันและรัศมีไม่เท่ากัน |
3. โค้งกลับทิศที่เส้นสัมผัสไม่ขนานกันแต่รัศมีเท่ากัน
![]() |
รูปที่ 35 โค้งกลับทิศที่เส้นสัมผัสไม่ขนานกันแต่รัศมีเท่ากัน
|
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
โค้งดิ่ง (Vertical curve)
![]() |
รูปที่ 36 โค้งดิ่ง |
ความหมาย โค้งราบซึ่งเป็นตัวกำหนดรูปร่างและทิศทางของถนนในแนวระดับ
ประโยชน์ของโค้งดิ่ง
-วิ่งผ่านภูมิประเทศที่มีพื้นที่ลักษณะเป็นเนิน หรือเป็นภูเขา
-วิ่งผ่านภูมิประเทศที่มีพื้นที่ลักษณะเป็นแอ่ง
-มีผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ของผู้ใช้รถใช้ถนน
-วิ่งผ่านภูมิประเทศที่มีพื้นที่ลักษณะเป็นเนิน หรือเป็นภูเขา
-วิ่งผ่านภูมิประเทศที่มีพื้นที่ลักษณะเป็นแอ่ง
-มีผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ของผู้ใช้รถใช้ถนน
จากสูตร
![]() |
รูปที่ 37 รายละเอียดโค้งดิ่ง |
![]() |
รูปที่ 38 สูตรการคำนวณโค้งดิ่ง |
โดยที่
Ex =
ค่าระดับบนโค้งที่ STA ใดๆ
Et = ค่าระดับบนเส้นสัมผัส
Ea = ค่าระดับของจุด
Origin หรือ จุด A
g1,g2
= ค่าความชันเมื่อเข้าโค้ง (Upgrade) และออกโค้ง (Downgrade) ตามลำดับ
L = ความยาวโค้งในแนวราบ
L = ความยาวโค้งในแนวราบ
l = ครึ่งหนึ่งของความยาวโค้งในแนวราบ
ตัวอย่างการคำนวณ
![]() |
รูปที่ 39 โจทย์การคำนวณ |
ตารางการคำนวณ
![]() |
รูปที่ 40 ตารางการคำนวณ |
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ที่มา : 1. http://www.tech.mtu.edu/courses/su3150/Reference%20Material/dsm08.pdf
2. http://kmsurveying.com/route-survey.html
3. หนังสือการสำรวจเส้นทาง Route
Survey: ยรรยง ทรัพย์สุขอำนวย
จัดทำโดย
Party 1
วิชา Route
survey 304339
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น